โลกธุรกิจทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงเร็วมากจนบางครั้งฉันเองก็ยังตามแทบไม่ทัน โดยเฉพาะเรื่อง ‘กลยุทธ์ทางออก’ ที่เมื่อก่อนเราเคยวางแผนกันอย่างมั่นคง ตอนนี้กลับต้องปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสถานการณ์ใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ใครจะคิดว่าเทรนด์อย่าง ESG หรือแม้แต่ความนิยมในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียจะเข้ามามีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเรื่องอนาคตของกิจการได้ขนาดนี้?
จากที่ได้เห็นมากับตาตัวเอง ฉันบอกเลยว่าความสามารถในการปรับตัวคือหัวใจสำคัญของการอยู่รอดและเติบโตในยุคนี้ค่ะจากประสบการณ์ตรงที่ได้คลุกคลีอยู่ในวงการมานาน ฉันรู้สึกได้เลยว่าสิ่งที่เราเคยยึดถือเป็นหลักการตายตัวเมื่อวาน วันนี้อาจไม่จริงอีกต่อไปแล้ว ลองคิดดูสิคะ สมัยก่อนใครๆ ก็มองหาการขยายสาขาหน้าร้านเป็นหลัก แต่เดี๋ยวนี้ธุรกิจเล็กๆ ที่ไม่ได้มีหน้าร้าน แต่ไปเน้นช่องทางออนไลน์กลับเติบโตได้ดีกว่าเยอะเลยด้วยซ้ำ เพราะอะไรน่ะเหรอ?
ก็เพราะเทคโนโลยีเข้ามาเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคจนหมดไงคะ ไม่ว่าจะเป็นกระแส e-commerce ที่บูมสุดๆ หลังช่วงโควิด หรือแม้แต่แพลตฟอร์มเดลิเวอรี่ที่ทำให้ร้านอาหารเล็กๆ ก็สามารถเข้าถึงลูกค้าได้ทั่วเมืองโดยไม่ต้องมีหน้าร้านใหญ่โต ฉันเคยเห็นร้านกาแฟเล็กๆ แถวบ้านที่เคยต้องปิดกิจการไปแล้ว แต่เจ้าของไม่ยอมแพ้ เขาพลิกกลับมาทำแค่กาแฟดริปขายออนไลน์อย่างเดียว ผลปรากฏว่ายอดขายดีกว่าเดิมหลายเท่าตัวเลยล่ะค่ะ นี่แหละคือตัวอย่างของ ‘การปรับตัว’ ที่น่าทึ่งมากๆในอนาคตอันใกล้นี้ เราคงจะได้เห็นการรวมธุรกิจและการซื้อขายกิจการ (M&A) ที่ซับซ้อนขึ้นอีก เพราะมูลค่าของบริษัทไม่ได้อยู่แค่ที่สินทรัพย์จับต้องได้อีกแล้ว แต่ไปอยู่ที่ข้อมูล ลูกค้า และนวัตกรรม ยิ่งเทรนด์ด้านความยั่งยืนหรือ ESG ที่กำลังมาแรง ก็ยิ่งเป็นปัจจัยที่นักลงทุนให้ความสำคัญมากๆ ในการตัดสินใจเข้าซื้อกิจการใดๆ มันไม่ใช่แค่เรื่องของกำไรสูงสุดอีกแล้ว แต่เป็นเรื่องของความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อ “กลยุทธ์ทางออก” ของธุรกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ เราจะมาบอกให้รู้กันอย่างชัดเจน!
โลกธุรกิจทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงเร็วมากจนบางครั้งฉันเองก็ยังตามแทบไม่ทัน โดยเฉพาะเรื่อง ‘กลยุทธ์ทางออก’ ที่เมื่อก่อนเราเคยวางแผนกันอย่างมั่นคง ตอนนี้กลับต้องปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสถานการณ์ใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ใครจะคิดว่าเทรนด์อย่าง ESG หรือแม้แต่ความนิยมในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียจะเข้ามามีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเรื่องอนาคตของกิจการได้ขนาดนี้?
จากที่ได้เห็นมากับตาตัวเอง ฉันบอกเลยว่าความสามารถในการปรับตัวคือหัวใจสำคัญของการอยู่รอดและเติบโตในยุคนี้ค่ะจากประสบการณ์ตรงที่ได้คลุกคลีอยู่ในวงการมานาน ฉันรู้สึกได้เลยว่าสิ่งที่เราเคยยึดถือเป็นหลักการตายตัวเมื่อวาน วันนี้อาจไม่จริงอีกต่อไปแล้ว ลองคิดดูสิคะ สมัยก่อนใครๆ ก็มองหาการขยายสาขาหน้าร้านเป็นหลัก แต่เดี๋ยวนี้ธุรกิจเล็กๆ ที่ไม่ได้มีหน้าร้าน แต่ไปเน้นช่องทางออนไลน์กลับเติบโตได้ดีกว่าเยอะเลยด้วยซ้ำ เพราะอะไรน่ะเหรอ?
ก็เพราะเทคโนโลยีเข้ามาเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคจนหมดไงคะ ไม่ว่าจะเป็นกระแส e-commerce ที่บูมสุดๆ หลังช่วงโควิด หรือแม้แต่แพลตฟอร์มเดลิเวอรี่ที่ทำให้ร้านอาหารเล็กๆ ก็สามารถเข้าถึงลูกค้าได้ทั่วเมืองโดยไม่ต้องมีหน้าร้านใหญ่โต ฉันเคยเห็นร้านกาแฟเล็กๆ แถวบ้านที่เคยต้องปิดกิจการไปแล้ว แต่เจ้าของไม่ยอมแพ้ เขาพลิกกลับมาทำแค่กาแฟดริปขายออนไลน์อย่างเดียว ผลปรากฏว่ายอดขายดีกว่าเดิมหลายเท่าตัวเลยล่ะค่ะ นี่แหละคือตัวอย่างของ ‘การปรับตัว’ ที่น่าทึ่งมากๆในอนาคตอันใกล้นี้ เราคงจะได้เห็นการรวมธุรกิจและการซื้อขายกิจการ (M&A) ที่ซับซ้อนขึ้นอีก เพราะมูลค่าของบริษัทไม่ได้อยู่แค่ที่สินทรัพย์จับต้องได้อีกแล้ว แต่ไปอยู่ที่ข้อมูล ลูกค้า และนวัตกรรม ยิ่งเทรนด์ด้านความยั่งยืนหรือ ESG ที่กำลังมาแรง ก็ยิ่งเป็นปัจจัยที่นักลงทุนให้ความสำคัญมากๆ ในการตัดสินใจเข้าซื้อกิจการใดๆ มันไม่ใช่แค่เรื่องของกำไรสูงสุดอีกแล้ว แต่เป็นเรื่องของความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อ “กลยุทธ์ทางออก” ของธุรกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ เราจะมาบอกให้รู้กันอย่างชัดเจน!
พลิกโฉมกลยุทธ์ทางออก: จากการขายกิจการสู่การสร้างคุณค่าที่ยั่งยืน
ยุคสมัยที่เปลี่ยนไปทำให้แนวคิดเรื่องกลยุทธ์ทางออกของธุรกิจไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว จากเดิมที่มองแค่เรื่องการขายกิจการเพื่อทำกำไรสูงสุดในระยะสั้น ตอนนี้ธุรกิจจำนวนมากหันมาให้ความสำคัญกับการสร้างมูลค่าระยะยาวและความยั่งยืนเป็นแกนหลักในการตัดสินใจ หลายครั้งที่เราเห็นกิจการที่เติบโตอย่างมั่นคงและมีธรรมาภิบาล กลับเป็นที่ต้องการของนักลงทุนมากกว่าบริษัทที่มุ่งแต่ผลกำไรเพียงอย่างเดียว ฉันเคยพูดคุยกับเจ้าของธุรกิจ SME รายหนึ่งที่กำลังวางแผนขายกิจการ เขาเล่าให้ฟังว่านักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาดูไม่ได้สนใจแค่ตัวเลขทางการเงินเท่านั้น แต่ยังถามถึงเรื่องการบริหารจัดการพนักงาน สวัสดิการ และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วยซ้ำ นั่นแสดงให้เห็นว่า “คุณค่า” ของธุรกิจในวันนี้มันกว้างกว่าที่เคยเป็นมามากจริงๆ ค่ะ
1. การเปลี่ยนมุมมองจาก “มูลค่าเงิน” เป็น “มูลค่าทางสังคม”
เมื่อก่อนเวลาพูดถึงกลยุทธ์ทางออก ทุกคนจะคิดถึงแต่เม็ดเงินก้อนโตที่จะได้จากการขายกิจการ หรือการนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์เพื่อเพิ่มมูลค่าหุ้น แต่ในวันนี้แนวคิดนี้เริ่มเปลี่ยนไป เมื่อผู้บริโภคและสังคมตระหนักถึงความสำคัญของการทำธุรกิจอย่างรับผิดชอบมากขึ้น ธุรกิจที่มีจุดยืนชัดเจนเรื่องความยั่งยืน มักจะมีฐานลูกค้าที่ภักดีและภาพลักษณ์ที่ดี ซึ่งในท้ายที่สุดแล้วสิ่งเหล่านี้ก็สามารถแปลงเป็นมูลค่าที่สูงขึ้นได้ในการเจรจาซื้อขายกิจการได้เหมือนกัน
2. การลงทุนในนวัตกรรมเพื่อสร้างความได้เปรียบยั่งยืน
ธุรกิจที่ลงทุนในการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีใหม่ๆ หรือกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จะมีแต้มต่อในการดึงดูดนักลงทุนเสมอ เพราะนวัตกรรมคือเครื่องมือสำคัญในการสร้างความแตกต่างและรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดในระยะยาว มันไม่ใช่แค่การสร้างสินค้าหรือบริการใหม่ๆ แต่คือการสร้างระบบนิเวศของธุรกิจที่สามารถปรับตัวและเติบโตได้เองในอนาคต และนั่นคือสิ่งที่นักลงทุนยุคใหม่มองหาจริงๆ
พลังของดิจิทัลและข้อมูล: Asset ใหม่ที่นักลงทุนมองหา
ในอดีต สินทรัพย์ที่จับต้องได้ เช่น ที่ดิน โรงงาน เครื่องจักร คือสิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญในการประเมินมูลค่าธุรกิจ แต่ในยุคดิจิทัลเช่นวันนี้ สินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้อย่างข้อมูลลูกค้า แพลตฟอร์มดิจิทัล และระบบปฏิบัติการออนไลน์ กลับกลายเป็นสิ่งที่นักลงทุนให้ความสำคัญไม่แพ้กัน ฉันเคยเห็นสตาร์ทอัพเล็กๆ ที่ไม่มีสินทรัพย์กายภาพมากมาย แต่มีฐานผู้ใช้งานจำนวนมหาศาล และมีข้อมูลพฤติกรรมลูกค้าที่ลึกซึ้ง กลับถูกประเมินมูลค่าสูงลิ่วและสามารถดึงดูดนักลงทุนรายใหญ่ได้ในเวลาอันรวดเร็ว นี่คือปรากฏการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าโลกกำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่การให้ค่ากับ “ดิจิทัลแอสเซท” มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด การวางแผนกลยุทธ์ทางออกจึงต้องรวมเอาการสร้างและรักษาคุณค่าของสินทรัพย์เหล่านี้ไว้ด้วย
1. ข้อมูลคือขุมทรัพย์ยุคใหม่
ข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภค, ข้อมูลการขาย, ข้อมูลประสิทธิภาพการดำเนินงาน – สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่ตัวเลขที่บันทึกไว้เฉยๆ แต่คือเครื่องมืออันทรงพลังที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถตัดสินใจได้อย่างแม่นยำและสร้างสรรค์นวัตกรรมได้ตรงจุด นักลงทุนที่มองหาธุรกิจเพื่อเข้าซื้อกิจการ มักจะประเมินศักยภาพของข้อมูลที่คุณมี รวมถึงความสามารถในการนำข้อมูลเหล่านั้นไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ฉันกล้าพูดเลยว่าบริษัทที่มีระบบจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลที่ดี จะมีภาษีเหนือกว่าคู่แข่งมากๆ ในตลาด M&A
2. แพลตฟอร์มและ Ecosystem ดิจิทัล
การมีแพลตฟอร์มดิจิทัลของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ e-commerce แอปพลิเคชัน หรือแม้แต่ช่องทางโซเชียลมีเดียที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก ล้วนเป็นสินทรัพย์ที่มีคุณค่ามหาศาล เพราะมันคือช่องทางในการเข้าถึงลูกค้าโดยตรง ลดการพึ่งพาตัวกลาง และสร้างประสบการณ์เฉพาะตัวให้กับผู้ใช้งาน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เองที่นักลงทุนให้ความสำคัญอย่างมากในการประเมินมูลค่ากิจการ เพราะมันคือหลักประกันของการเติบโตในอนาคต
ESG ไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่เป็นหัวใจสำคัญในการซื้อขายกิจการ
จากที่ฉันได้สัมผัสมา นักลงทุนสมัยนี้ไม่ได้มองแค่กำไรสุทธิหรืออัตราการเติบโตอีกแล้ว แต่ยังมองลึกไปถึงการดำเนินงานที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม (Environmental) สังคม (Social) และธรรมาภิบาล (Governance) หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ ESG ด้วยซ้ำไป สมัยก่อนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องของภาพลักษณ์ หรือ CSR ที่ทำๆ กันไป แต่ตอนนี้มันกลายเป็นปัจจัยชี้ขาดในการตัดสินใจเข้าลงทุนหรือซื้อกิจการเลยก็ว่าได้ ฉันเคยเห็นดีล M&A ขนาดใหญ่หลายดีลต้องชะลอตัวหรือแม้กระทั่งล้มไปเลย เพียงเพราะบริษัทเป้าหมายมีประวัติที่ไม่ดีเรื่องการจัดการของเสีย หรือมีประเด็นเรื่องแรงงาน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ESG มีน้ำหนักมากแค่ไหนในโลกธุรกิจปัจจุบัน
1. E: สิ่งแวดล้อม – ความรับผิดชอบที่ประเมินเป็นมูลค่าได้
ธุรกิจที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้พลังงานสะอาด การลดขยะ การจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนที่ยึดหลัก ESG สูงเป็นพิเศษ นอกจากจะช่วยลดต้นทุนในระยะยาวแล้ว ยังสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและลดความเสี่ยงจากการถูกฟ้องร้องหรือถูกต่อต้านจากสังคมได้อีกด้วย ลองนึกภาพดูสิคะว่าถ้าเราเป็นนักลงทุน เราก็อยากจะลงทุนในบริษัทที่มีความเสี่ยงต่ำและมีอนาคตที่ยั่งยืนจริงไหมคะ
2. S: สังคม – การสร้างคุณค่าให้ชุมชนและพนักงาน
การดูแลพนักงานอย่างเป็นธรรม การมีส่วนร่วมกับชุมชน การส่งเสริมความหลากหลายและเท่าเทียมในองค์กร ล้วนเป็นหัวใจสำคัญของตัว S ใน ESG ธุรกิจที่มีวัฒนธรรมองค์กรที่ดี มีพนักงานที่มีความสุขและมีส่วนร่วม ย่อมส่งผลดีต่อผลผลิตและนวัตกรรมโดยรวม ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนให้ความสำคัญมาก เพราะมันสะท้อนถึงความมั่นคงของทรัพยากรบุคคลและโอกาสในการเติบโตอย่างยั่งยืนของบริษัท
3. G: ธรรมาภิบาล – ความโปร่งใสคือกุญแจสู่ความเชื่อมั่น
ระบบการบริหารจัดการที่โปร่งใส มีจริยธรรม และตรวจสอบได้ คือสิ่งที่นักลงทุนทุกรายมองหา ธุรกิจที่มีธรรมาภิบาลที่ดี จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับทั้งนักลงทุน พนักงาน และลูกค้า การมีโครงสร้างคณะกรรมการที่อิสระ การบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ และการเปิดเผยข้อมูลที่เป็นจริง ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มมูลค่าของบริษัทและทำให้กระบวนการซื้อขายกิจการราบรื่นและน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น
การวางแผนสืบทอดกิจการในยุคไร้รูปแบบตายตัว
เรื่องของการสืบทอดกิจการจากรุ่นสู่รุ่น หรือแม้แต่การส่งไม้ต่อให้มืออาชีพเข้ามาบริหาร เคยเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและบางครั้งก็อ่อนไหวมาก แต่ในยุคที่ทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว การวางแผนสืบทอดกิจการก็ต้องยืดหยุ่นและมีหลายทางเลือกมากขึ้นเช่นกัน ฉันเคยเห็นหลายธุรกิจครอบครัวที่ประสบความสำเร็จในการส่งต่ออำนาจให้ผู้บริหารมืออาชีพที่ไม่ใช่คนในตระกูลเลย ซึ่งผลลัพธ์กลับดีกว่าที่คิดไว้มาก เพราะได้ความคิดใหม่ๆ และการบริหารจัดการที่เป็นระบบมากขึ้น แต่ก็มีอีกหลายกรณีที่ลูกหลานคนรุ่นใหม่พลิกโฉมธุรกิจดั้งเดิมให้ทันสมัยขึ้นได้อย่างน่าทึ่ง นี่แหละค่ะคือความหลากหลายของ ‘ทางออก’ ที่เราต้องพิจารณา
1. การพัฒนาผู้นำภายในองค์กร
แทนที่จะมองหาผู้สืบทอดจากภายนอกเสมอไป การลงทุนในการพัฒนาบุคลากรภายในองค์กรให้มีความพร้อมที่จะเป็นผู้นำในอนาคตก็เป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจไม่น้อย ฉันเชื่อว่าพนักงานที่เติบโตมาพร้อมกับธุรกิจ ย่อมเข้าใจวัฒนธรรมและแก่นแท้ของกิจการได้ดีที่สุด การมอบหมายบทบาทที่ท้าทาย การฝึกอบรมอย่างต่อเนื่อง และการให้โอกาสในการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง จะช่วยสร้างผู้นำที่มีคุณภาพและภักดีต่อองค์กร
2. การพิจารณาผู้บริหารมืออาชีพ
บางครั้ง การนำผู้บริหารมืออาชีพจากภายนอกเข้ามาดูแลกิจการ อาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการสร้างการเติบโตและปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน พวกเขามักจะนำพามุมมองใหม่ๆ กลยุทธ์ที่เฉียบคม และประสบการณ์จากอุตสาหกรรมอื่นเข้ามาปรับใช้ ซึ่งอาจช่วยให้ธุรกิจก้าวข้ามขีดจำกัดเดิมๆ ได้อย่างไม่น่าเชื่อ นี่เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ทางออกที่เจ้าของกิจการควรเปิดใจพิจารณา โดยเฉพาะเมื่อถึงจุดที่ต้องการขยายธุรกิจอย่างก้าวกระโดด
กลยุทธ์ทางออกที่คำนึงถึง “คน” และ “วัฒนธรรมองค์กร”
หลายครั้งที่ฉันได้ยินเรื่องราวการซื้อขายกิจการที่ไม่ราบรื่น ไม่ใช่เพราะตัวเลขทางการเงินไม่ดี แต่เป็นเพราะความไม่ลงรอยกันเรื่อง “คน” และ “วัฒนธรรมองค์กร” นี่เป็นสิ่งที่หลายคนมักจะมองข้ามไป แต่จากประสบการณ์ของฉัน มันคือหัวใจสำคัญที่จะทำให้ดีลประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวเลยก็ว่าได้ นักลงทุนที่ฉลาดจะไม่มองแค่สินทรัพย์ที่จับต้องได้ แต่จะมองลึกไปถึง “ทุนมนุษย์” และ “จิตวิญญาณ” ขององค์กรด้วย เพราะท้ายที่สุดแล้ว คนคือผู้ขับเคลื่อนทุกสิ่ง และวัฒนธรรมที่ดีคือรากฐานที่ทำให้ธุรกิจแข็งแกร่ง
ปัจจัย | กลยุทธ์ทางออกแบบเดิม | กลยุทธ์ทางออกในยุคปัจจุบัน |
---|---|---|
จุดประสงค์หลัก | เน้นกำไรสูงสุดและเงินสดก้อนโตจากการขาย | สร้างมูลค่าระยะยาว, ความยั่งยืน, การสร้างแบรนด์ |
สินทรัพย์ที่มองหา | โรงงาน, เครื่องจักร, ที่ดิน, สินค้าคงคลัง | ข้อมูล, ลูกค้า, นวัตกรรม, แบรนด์, แพลตฟอร์มดิจิทัล |
ปัจจัยการประเมิน | EBITDA, รายได้, ทรัพย์สินที่มีตัวตน | ESG, ความสามารถในการปรับตัว, ทุนมนุษย์, วัฒนธรรมองค์กร |
การสืบทอด | ลูกหลาน, คนในตระกูล | ผู้บริหารมืออาชีพ, การพัฒนาผู้นำภายใน, ระบบ |
1. การรักษาและพัฒนาบุคลากร
ในกระบวนการวางแผนกลยุทธ์ทางออก ไม่ว่าจะเป็นการขายกิจการ การรวมกิจการ หรือการสืบทอด ควรให้ความสำคัญกับการสื่อสารและสร้างความมั่นใจให้กับพนักงานเสมอ ฉันเคยเห็นบริษัทที่เตรียมขายกิจการ แต่เจ้าของกังวลมากเรื่องการรักษาบุคลากรเก่งๆ ไว้ เขาจึงพยายามเจรจากับผู้ซื้อเพื่อให้มีแผนการรักษาและพัฒนาพนักงานอย่างชัดเจน ซึ่งสุดท้ายแล้วก็ทำให้การเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างราบรื่นและพนักงานส่วนใหญ่ก็ยังอยู่กับองค์กรใหม่ต่อไปได้
2. การหลอมรวมวัฒนธรรมองค์กรอย่างชาญฉลาด
เมื่อมีการควบรวมหรือซื้อกิจการ สิ่งที่ท้าทายที่สุดคือการหลอมรวมวัฒนธรรมองค์กรของทั้งสองฝ่าย หลายครั้งที่การทำ M&A ล้มเหลวไม่ใช่เพราะปัจจัยทางการเงิน แต่เป็นเพราะความขัดแย้งทางวัฒนธรรม ดังนั้น การวางแผนกลยุทธ์ทางออกที่ชาญฉลาดจะต้องมีการประเมินและวางแผนการหลอมรวมวัฒนธรรมอย่างจริงจัง ตั้งแต่การกำหนดค่านิยมร่วมกัน การจัดกิจกรรมสร้างความสัมพันธ์ ไปจนถึงการสื่อสารที่โปร่งใสและต่อเนื่อง เพื่อให้พนักงานรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรใหม่โดยเร็วที่สุด
การสร้างแบรนด์และนวัตกรรม: กุญแจสู่การเพิ่มมูลค่าก่อน Exit
ในโลกที่การแข่งขันสูงลิ่วแบบนี้ การมีแค่สินค้าหรือบริการที่ดีอาจไม่เพียงพออีกต่อไปแล้ว การสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งและเป็นที่จดจำ รวมถึงการไม่หยุดนิ่งที่จะสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจได้อย่างมหาศาลก่อนที่คุณจะตัดสินใจใช้กลยุทธ์ทางออกใดๆ ก็ตาม ลองคิดดูสิคะว่าทำไมบางบริษัทถึงขายได้ราคาสูงกว่าคู่แข่ง ทั้งๆ ที่อาจจะมีขนาดใกล้เคียงกัน?
ส่วนหนึ่งเลยก็คือ “มูลค่าของแบรนด์” ที่พวกเขาสร้างสมมานานนั่นเอง ฉันเคยช่วยที่ปรึกษาในการประเมินมูลค่าธุรกิจ และเห็นมากับตาเลยว่าแบรนด์ที่แข็งแกร่งสามารถเพิ่มพรีเมียมให้กับราคาขายได้เยอะแค่ไหน!
1. ลงทุนในการสร้างเรื่องราวและอัตลักษณ์แบรนด์
แบรนด์ไม่ได้เป็นแค่โลโก้สวยๆ หรือชื่อที่จำง่าย แต่มันคือเรื่องราว ประสบการณ์ และความรู้สึกที่ผู้บริโภคมีต่อธุรกิจของคุณ การสร้างอัตลักษณ์แบรนด์ที่ชัดเจนและสอดคล้องกับคุณค่าขององค์กร จะช่วยสร้างความผูกพันกับลูกค้าในระยะยาว และเมื่อลูกค้ามีความภักดี ยอดขายก็จะตามมาอย่างยั่งยืน สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่นักลงทุนมองหาเมื่อจะเข้ามาซื้อกิจการ เพราะแบรนด์ที่แข็งแกร่งคือสินทรัพย์ที่ไม่มีวันหมดอายุ และมีแต่จะเพิ่มมูลค่าขึ้นเรื่อยๆ
2. นวัตกรรมที่ตอบโจทย์อนาคต
ธุรกิจที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการคิดค้นและพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ บริการ หรือแม้กระทั่งโมเดลธุรกิจใหม่ๆ จะเป็นที่ต้องการของนักลงทุนเสมอ เพราะนวัตกรรมคือเครื่องจักรขับเคลื่อนการเติบโตในระยะยาว มันคือการลงทุนในอนาคตที่แสดงให้เห็นว่าธุรกิจของคุณไม่หยุดนิ่ง และพร้อมที่จะปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของตลาดอยู่เสมอ การนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ล้ำสมัยและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในอนาคต จะช่วยเพิ่มความน่าสนใจและมูลค่าของธุรกิจได้อย่างมีนัยสำคัญก่อนการตัดสินใจทางออกใดๆ
สรุปท้ายบทความ
จากที่ได้เล่ามาทั้งหมด จะเห็นได้ว่ากลยุทธ์ทางออกของธุรกิจในยุคปัจจุบันไม่ใช่เรื่องของการทำกำไรสูงสุดในระยะสั้นอีกต่อไปแล้ว แต่คือการสร้างมูลค่าที่ยั่งยืน การปรับตัวให้เข้ากับโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และการให้ความสำคัญกับสิ่งที่ไม่ใช่แค่ตัวเลขทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นข้อมูล ลูกค้า นวัตกรรม หรือแม้กระทั่งความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ฉันเชื่อว่าธุรกิจที่เข้าใจและสามารถปรับใช้แนวคิดเหล่านี้ได้ จะเป็นผู้ที่ก้าวข้ามทุกความท้าทายและเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งในระยะยาว นี่คือเส้นทางสู่ความสำเร็จที่แท้จริงในยุคดิจิทัลค่ะ
ข้อมูลน่ารู้เพิ่มเติม
1. การประเมินมูลค่ากิจการยุคใหม่: ปัจจุบันนักลงทุนมองมูลค่าของธุรกิจจากหลากหลายมิติมากขึ้น ไม่ใช่แค่กระแสเงินสดหรือสินทรัพย์จับต้องได้ แต่รวมถึงฐานข้อมูลลูกค้า ความแข็งแกร่งของแบรนด์ และการมีส่วนร่วมกับสังคม
2. บทบาทของ ESG: การดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่เป็นปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนใช้ในการตัดสินใจเข้าซื้อกิจการ เพราะสะท้อนถึงความยั่งยืนและความเสี่ยงที่ลดลง
3. พลังของดิจิทัลแอสเซท: สินทรัพย์ดิจิทัล เช่น แพลตฟอร์มออนไลน์ แอปพลิเคชัน หรือข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภค กลายเป็นขุมทรัพย์ใหม่ที่มีมูลค่ามหาศาลและเป็นที่ต้องการของนักลงทุนอย่างมาก
4. ความสำคัญของคนและวัฒนธรรมองค์กร: การซื้อขายกิจการที่ประสบความสำเร็จ ไม่ได้อยู่ที่ตัวเลขทางการเงินเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการบุคลากรและการหลอมรวมวัฒนธรรมองค์กรให้เป็นหนึ่งเดียวอย่างราบรื่น
5. นวัตกรรมคือหัวใจของการเติบโต: การลงทุนในการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง จะช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน เพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจ และแสดงให้นักลงทุนเห็นถึงศักยภาพในการเติบโตในอนาคต
ประเด็นสำคัญที่ต้องจำ
กลยุทธ์ทางออกของธุรกิจในยุคนี้ไม่ใช่แค่การขายกิจการเพื่อทำกำไรสูงสุดอีกต่อไป แต่เป็นการสร้างมูลค่าระยะยาวและความยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้อย่างข้อมูลและนวัตกรรม รวมถึงปัจจัย ESG ที่นักลงทุนให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง การวางแผนสืบทอดกิจการต้องมีความยืดหยุ่น และการให้ความสำคัญกับบุคลากรและวัฒนธรรมองค์กรคือหัวใจสำคัญของความสำเร็จก่อนการตัดสินใจทางออกใดๆ ทั้งหมดนี้คือการลงทุนเพื่ออนาคตที่มั่นคงของธุรกิจคุณค่ะ
คำถามที่พบบ่อย (FAQ) 📖
ถาม: ในยุคที่อะไรๆ ก็เปลี่ยนเร็วแบบนี้ โดยเฉพาะเรื่องที่ธุรกิจเล็กๆ มักจะไม่มีหน้าร้าน แต่ไปเน้นออนไลน์ ทำไม ‘กลยุทธ์ทางออก’ ถึงต้องปรับตัวให้ทันการเปลี่ยนแปลงนี้ และมันเป็นไปได้จริงเหรอที่ธุรกิจเล็กๆ จะมี “ทางออก” ที่น่าสนใจ?
ตอบ: โอ้โห! คำถามนี้โดนใจฉันมากๆ เลยค่ะ จากที่คลุกคลีอยู่ในวงการมานาน ฉันเห็นมาเยอะเลยว่าสมัยก่อนธุรกิจเล็กๆ อย่างร้านกาแฟแถวบ้านฉันเนี่ย กว่าจะหาทางออก เช่น ขยายสาขา หรือขายกิจการได้สักทีมันยากมากๆ เพราะต้องพึ่งพาทำเลกับหน้าร้านเป็นหลัก แต่พอมาเจอช่วงโควิด ทุกอย่างพลิกผันหมดเลยค่ะ ใครปรับตัวได้รอด!
อย่างร้านกาแฟดริปที่ฉันเล่าไปนั่นแหละ เขาไม่ได้มีหน้าร้าน แต่ไปเน้นออนไลน์เต็มตัว ใช้ช่องทางเดลิเวอรี่ที่เราคุ้นเคยกันดีอย่าง LINE MAN หรือ GrabFood เข้าถึงลูกค้าทั่วเมือง แล้วไปสร้างแบรนด์ผ่านโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook หรือ Instagram ที่คนไทยเล่นกันเยอะๆ ลองคิดดูสิคะ ต้นทุนหน้าร้านก็ไม่ต้องแบก กำไรก็ดีขึ้น แถมยังขยายฐานลูกค้าได้แบบไม่จำกัดพื้นที่ด้วยซ้ำ ‘ทางออก’ ของธุรกิจเล็กๆ ในวันนี้เลยไม่ใช่แค่เรื่องของการขยายสาขาหรือขายกิจการอีกต่อไปแล้ว แต่คือการสร้างคุณค่าที่ไม่ต้องพึ่งพาพื้นที่ทางกายภาพ และเปิดโอกาสให้ผู้สนใจเข้ามาร่วมลงทุนหรือซื้อกิจการแบบไม่ต้องมีสินทรัพย์จับต้องได้มากมายเลยค่ะ มันเป็นไปได้จริง!
และเป็นไปได้สวยด้วยซ้ำถ้าเรามองเห็นโอกาสตรงนี้
ถาม: ตอนนี้เทรนด์ ESG กำลังมาแรงมาก ทำไมนักลงทุนถึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ในการตัดสินใจซื้อกิจการ และมันส่งผลต่อ “กลยุทธ์ทางออก” ของธุรกิจในไทยอย่างไรบ้างคะ?
ตอบ: ใช่เลยค่ะ! เรื่อง ESG นี่มาแรงจริงๆ จนบางทีฉันก็ยังรู้สึกทึ่งว่ามันเข้ามามีอิทธิพลกับการตัดสินใจลงทุนได้ขนาดนี้เลยเหรอ? เมื่อก่อนเรามองกันแค่กำไรสุทธิกับสินทรัพย์ที่จับต้องได้เป็นหลักใช่ไหมคะ แต่เดี๋ยวนี้…ไม่แล้วค่ะ!
นักลงทุน ไม่ว่าจะเป็นกองทุนใหญ่ๆ หรือแม้แต่นักลงทุนรุ่นใหม่ๆ ที่มีวิสัยทัศน์ไกลๆ เขาไม่ได้มองแค่ตัวเลขในบัญชี แต่เขามองถึงความรับผิดชอบของกิจการต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมด้วยนะ ลองนึกภาพดูสิคะ ถ้าธุรกิจของคุณไม่ได้ใส่ใจเรื่องขยะ ไม่ได้ใส่ใจเรื่องแรงงาน ไม่มีความโปร่งใสในการบริหารงาน ถึงแม้จะมีกำไรดีแค่ไหน มันก็เหมือนมีรอยด่างอยู่ในสายตานักลงทุนเลยนะ ฉันเคยได้ยินมาว่าบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่งในไทยที่กำลังวางแผนขายกิจการหรือหาพาร์ทเนอร์ลงทุน ถ้าบริษัทนั้นมีคะแนน ESG ที่ดี มีนโยบายที่ชัดเจนเรื่องความยั่งยืน มูลค่ากิจการจะเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเลยค่ะ และหาผู้ซื้อได้ง่ายขึ้นด้วยซ้ำ เพราะมันสะท้อนถึงธรรมาภิบาลที่ดี ความเสี่ยงที่ต่ำกว่า และโอกาสในการเติบโตในระยะยาว ซึ่งนั่นแหละค่ะ คือ “กลยุทธ์ทางออก” ที่แข็งแกร่งและน่าสนใจในยุคสมัยนี้เลยจริงๆ
ถาม: นอกจากเรื่องของการซื้อขายกิจการ (M&A) แบบเต็มตัวแล้ว ยังมี “กลยุทธ์ทางออก” รูปแบบอื่นๆ ที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการไทยในตลาดปัจจุบัน ที่เปลี่ยนแปลงเร็วแบบนี้อีกไหมคะ?
ตอบ: มีแน่นอนค่ะ! นี่แหละคือสิ่งที่ฉันอยากจะเน้นย้ำเลยว่า “กลยุทธ์ทางออก” มันไม่ได้มีแค่การขายกิจการทั้งหมดอย่างเดียวแล้วนะ ลองคิดดูสิคะ บางทีธุรกิจของเราอาจจะมีแค่บางส่วนที่มีมูลค่าสูงมากๆ เช่น ฐานข้อมูลลูกค้าขนาดใหญ่ เทคโนโลยีที่เราพัฒนาขึ้นเอง หรือแม้กระทั่งทีมงานที่มีความสามารถเฉพาะด้าน อย่างที่ฉันเห็นมาเองนะ บริษัทเทคฯ เล็กๆ หลายแห่งในไทยที่ยังไม่โตเต็มที่ แต่มีนวัตกรรมที่น่าสนใจ หรือมีฐานผู้ใช้งานมหาศาล เขากลับเลือก “ทางออก” ที่เป็นการขายสิทธิบัตรเทคโนโลยีนั้นๆ ให้กับบริษัทใหญ่กว่า หรือไม่ก็ขายแค่ฐานลูกค้าให้กับบริษัทคู่แข่ง หรืออาจจะเป็นการควบรวมกิจการ (Merger) ที่ไม่ใช่แค่ซื้อ-ขาย แต่เป็นการรวมพลังกันเพื่อสร้างสิ่งที่ใหญ่กว่าเดิม บางครั้งก็อาจจะเป็นการขายหุ้นส่วนน้อยให้กับ Private Equity Funds ในไทย หรือการหาพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ที่เข้ามาลงทุนในธุรกิจเพื่อต่อยอดให้เราไปสู่เป้าหมายที่ใหญ่กว่าการขายกิจการไปเลยก็มีนะคะ มันขึ้นอยู่กับว่า “คุณค่า” ที่แท้จริงของธุรกิจคุณคืออะไร และคุณอยากจะ “ไปต่อ” ในรูปแบบไหน ฉันว่าตอนนี้โอกาสมันเปิดกว้างกว่าเมื่อก่อนเยอะเลยค่ะ อยู่ที่เราจะมองเห็นและฉกฉวยมันได้ทันไหมแค่นั้นเอง
📚 อ้างอิง
Wikipedia Encyclopedia
구글 검색 결과
구글 검색 결과
구글 검색 결과
구글 검색 결과
구글 검색 결과